recommendare
บันทึก
จากปาฐกถาหัวข้อ “ความผิดหวังจากโลกาภิวัตน์ในภาคการเงิน
The Disappointments of Financial Globalization”
International Symposium ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย ประจําปี 2008
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2551
ปาฐกถา โดย
ดานี ร็อดริก Dani Rodrik
นักเศรษฐศาสตร์การเมือง มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ผู้เขียนหนังสือเรื่อง One Economics, Many Recipes ปฏิเสธ
(มุมมองกระแสหลักที่เชื่อว่าโลกาภิวัตน์มี “สูตรสําเร็จ” ที่ใช้ได้กับทุกประเทศ)
แปล โดย
สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ
กล่าวดังนี้
โลกาภิวัตน์ในภาคการเงิน: ประโยชน์ไม่สูงเท่ากับที่คาด และมีต้นทุนทางสังคม
โลกาภิวัตน์ในภาคการเงิน ซึ่งวัดโดยปริมาณทุนข้ามชาติ และระดับการเปิดเสรีบัญชีทุน (capital account) ให้เงินเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนได้โดยสะดวก ได้ขยายขอบเขตและทวีอิทธิพลอย่างต่อเนื่องในรอบกึ่งศตวรรษที่่านมา ร็อดริกชี้ว่าปริมาณทุนเอกชน (private capital flows) ที่ไหลสู่ประเทศกําลังพัฒนาเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) ในปี 1977 เป็นกว่าร้อยละ 12 ของจีดีพีในปี 2005การเติบโตดังกล่าวสอดคล้องกับกระแสการเปิดเสรีภาคการเงินและระดับการเปิดเสรีบัญชีทุน โดยผลการประเมินระดับการเปิดเสรีบัญชีทุน (KA Openness) ของ Chinn และ Ito (2007) พบว่า ระดับการเปิดเสรีบัญชีทุนในแต่ละทวีปสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากทศวรรษหนึ่งสู่ทศวรรษหนึ่งนับจากทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา ยกเว้นในทศวรรษหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งมักจะทําให้ประเทศที่ประสบกับวิกฤตเลือกที่จะ “สวนกระแส” เปิดเสรีชั่วคราวเพื่อฟนฟูสถาบันในประเทศ ดังประสบการณ์ของทวีปละตินอเมริกาหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปลายทศวรรษ 1970 และทวีปเอเชียหลังเกิดวิกฤตปี 1997 ร็อดริกชี้ว่ากลุ่มประเทศ “เกิดใหม่” ในยุโรปตะวันออกและยุโรปกลางเปิดเสรีอย่างรวดเร็ว จน ณ ปลายปี 2005 มีระดับการเปิดเสรีทัดเทียมกับกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก (ดูภาพที่ 1)
อย่างไรก็ดี ร็อดริกชี้ว่าผลลัพธ์ของโลกาภิวัตน์ในภาคการเงินในประเทศกําลังพัฒนานั้นไม่ได้
“ดี” ตามระดับการเปิดเสรีโดยอัตโนมัติ เขาชี้ให้เห็นผลลัพธ์ 4 ประการหลักที่มีข้อกังขา ได้แก่
1. ระดับการลงทุนในหลายประเทศไม่สอดคล้องกับระดับการเปิดเสรี
ปัจจุบันมีข้อมูลหลักฐานน้อยมากที่บ่งชี้ว่าโลกาภิวัตน์ในภาคการเงินช่วยส่งเสริมระดับ การลงทุน ในประเทศกําลังพัฒนา เช่น ถึงแม้ว่าละตินอเมริกาจะเป็นทวีปที่มีระดับการเปิดเสรีบัญชีทุนสูงที่สุดในโลก อัตราการลงทุนก็ยังอยู่ในระดับต่ํา คือประมาณร้อยละ 14-24 ของจีดีพีเท่านั้นตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา ในขณะที่จีนและอินเดียมีอัตราการลงทุนสูงเกินร้อยละ 30 ทั้งๆ ที่ระดับการเปิดเสรีบัญชีทุนยังอยู่ในระดับต่ําโดยเปรียบเทียบ
2. เงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิมักไหล “ผิด” ทาง
ถ้านําตัวเลขปริมาณเงินที่ไหลออกจากประเทศกำลังพัฒนา (capital outflows) มาหักออกจากปริมาณเงินไหลเข้า (capital inflows) จะพบว่าตัวเลขเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิมีค่าค่อนข้างน้อยและมักจะติดลบ (ไหลออกมากกว่าไหลเข้า) ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา และติดลบมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับประมาณร้อยละ 5 ของจีดีพีของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหมดรวมกันในปี 2007 (โดยมีเงินทุนไหลออกคิดเป็นร้อยละ 16 ของจีดีพี และไหลเข้าร้อยละ 11 ของจีดีพี) ตัวเลขนี้หักล้างความเชื่อกระแสหลักที่ว่า ยิ่งประเทศกําลังพัฒนาเปิดให้เงินทุนเคลื่อนย้ายโดยเสรีมากเพียงใด ประเทศก็จะยิ่งได้รับประโยชน์จากทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนระยะยาว ในความเป็นจริง “เงินร้อน” ที่ไหลเข้ามาเก็งกําไรในตลาดหุ้นของประเทศกําลังพัฒนาและพร้อมจะไหลกลับไปทุกเมื่อ ดูจะมีปริมาณและอิทธิพลสูงกว่า “เงินเย็น” ที่เข้ามาลงทุนระยะยาว ร็อดริกเสริมว่าดูแค่เม็ดเงินสุทธิไม่พอ ต้องดูปริมาณเงิน (gross flows) ทั้งขาเข้าและขาออกด้วย เพราะเป็นตัวการที่ทําให้เศรษฐกิจประสบภาวะไร้เสถียรภาพ
3. โลกาภิวัตน์ในภาคการเงินไม่ได้ช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของการบริโภค
งานวิจัยที่ผ่านมา เช่น Kose (2007) ชี้ว่าประสบการณ์ของประเทศกําลังพัฒนาในแง่นี้ตรงกันข้ามกับประสบการณ์ของประเทศร่ํารวย ส่วนหนึ่งเนื่องจากประเทศกําลังพัฒนาประสบวิกฤตการเงินบ่อยครั้งกว่า (วิกฤตการเงินโลกในปัจจุบัน (2008) เป็นวิกฤตระดับโลกครั้งแรกนับตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงในทศวรรษ 1930 เป็นต้นมา) ร็อดริกย้ําว่า วิกฤตการเงินในประเทศกําลังพัฒนาหลายครั้งไม่ได้เกิดจากความล้มเหลวเชิงนโยบายของรัฐบาลนั้นๆ หากเป็นผลพวงจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนปริมาณมหาศาลของนักลงทุนต่างชาติที่กําลังประสบปัญหาในประเทศตัวเอง ดังเช่นวิกฤตซับไพรมอเมริกาในปัจจุบัน
4. วิกฤตการเงินกดดันให้ประเทศกําลังพัฒนา “ประกันตัวเอง” ด้วยต้นทุนสูง
การที่ประเทศกําลังพัฒนาต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะประสบกับวิกฤตการเงิน รวมทั้งวิกฤตที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้ก่อ ทําให้ประเทศเหล่านี้ต้องสะสมทุนสํารองระหว่างประเทศ (foreign reserves) ในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเสมือนการซื้อ “ประกัน” ต่อความแปรปรวนในตลาดการเงิน กราฟแสดงปริมาณทุนสํารองระหว่างประเทศ (ไม่นับทองคํา) ชี้ชัดว่าทุนสํารองของประเทศกําลังพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 3 เดือนของปริมาณการนําเข้า (ซึ่งร็อดริกบอกว่าเป็นหลักที่ใช้กันทั่วไป) ต้นทศวรรษ 1970 เป็นกว่า 8 เดือน ณ สิ้นปี 2004 ในขณะที่ระดับทุนสํารองในประเทศพัฒนาแล้วแทบไม่เปลี่ยนแปลง (ดูภาพที่ 2)
ทุนสํารองเหล่านี้ส่งมอบผลตอบแทนต่ําและมีต้นทุนการเสียโอกาส (opportunity cost) สูง(เพราะต้องกันเงินสํารอง แทนที่จะได้ใช้จ่ายในการลงทุนพัฒนาประเทศ) ทั้งยังเป็นเชื้อเพลิงของภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในอเมริกา (เนื่องจากมีดอลลาร์สหรัฐเป็นองค์ประกอบหลัก)มิหนําซ้ํา ตลาดการเงินก็ไม่แยกแยะ (discriminate) ระหว่างประเทศที่ทํา “ประกัน” ดังกล่าวมากกับประเทศที่ทําน้อย ยกตัวอย่างเช่น วิกฤตการเงินปัจจุบันส่งผลกระทบต่อบราซิล เกาหลีใต้ และรัสเซีย สามประเทศที่มีทุนสํารองระหว่างประเทศสูงกว่าหนี้สินทางการเงินระยะสั้นหลายเท่า พอๆ กับที่กระทบต่อประเทศอื่น
ตลาดการเงินไม่ใช่ตลาดแบบ “ดีที่สุด” แต่เป็นตลาดแบบ “ดีที่สอง”
ร็อดดิกอธิบายว่า สาเหตุหลักที่ทําให้โลกาภิวัตน์ในภาคการเงินไม่ได้ทําประโยชน์ให้กับประเทศกําลังพัฒนาเท่ากับที่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์พยากรณ์ คือข้อเท็จจริงที่ว่าตลาดกาเงินไม่ใช่ตลาดแบบ “ดีที่สุด” (first-best) ตามสมมุติฐานในทฤษฏี หากเป็นตลาดแบบ “ดีที่สอง” (second-best)ซึ่งแปลว่า เป็นตลาดซึ่งมีความล้มเหลวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้(unavoidable market failure) ในภาคใดภาคหนึ่ง และดังนั้นความพยายามที่จะทําให้ตลาดสมบูรณ์ขึ้น (กล่าวคือมีประสิทธิภาพดีขึ้น)ในอีกภาคหนึ่งอาจลิดรอนประสิทธิภาพของภาคที่หลีกเลี่ยงความล้มเหลวไม่ได้ และอาจทําให้ประสิทธิภาพโดยรวมของระบบลดลง ในตลาดแบบดีที่สอง สิ่งที่ดีที่สุด (optimal) ที่รัฐบาลจะทําได้อาจเป็นการแทรกแซงตลาดในทางที่ตรงกันข้ามกับนโยบายส่งเสริมตลาดเสรี (laissez-faire)และในตลาดแบบนี้ นักเศรษฐศาสตร์จําเป็นจะต้องศึกษาสถานการณ์อย่างละเอียด ก่อนที่จะกระโดดเข้าสู่บทสรุปทางทฤษฎีที่ว่า ตลาดที่สมบูรณ์ขึ้นในภาคใดภาคหนึ่งย่อมแปลว่าประสิทธิภาพรวมของโลกสูงขึ้นตามไปด้วย
ร็อดริกอธิบายเหตุผลและนัยยะของแนวคิดที่ว่าตลาดการเงินเป็นตลาดแบบ “ดีที่สอง” ดังนี้
1. ตลาดการเงินเป็นตลาดแบบ “ดีที่สอง” เพราะมีความล้มเหลวของตลาดหลายประการเป็น“ธรรมชาติ” ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของระบบ – ความล้มเหลวหรือข้อบกพร่องของตลาดเผยโฉมอย่างชัดเจนในวิกฤตการเงินอเมริกาในปัจจุบัน เช่น ความไม่สมมาตรของข้อมูล (information asymmetries), ปัญหาตัวแทน (agency problems เช่น ผลตอบแทนที่ตั้งอยู่บนผลกําไรระยะสั้นทําให้ผู้บริหารสถาบันการเงิน “สายตาสั้น” จนรับความเสี่ยงสูงเกินไป ละเลยผลประโยชน์ระยะยาวของผู้ถือหุ้น), และผลกระทบภายนอกเชิงระบบ (systemic externalities) ร็อดริกชี้ว่า ในเมื่อการกํากับดูแลและกฎเกณฑ์ต่างๆ ของภาครัฐช่วยลดทอนข้อบกพร่องเหล่านี้ได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถกําจัดได้โดยสมบูรณ์ ก็ไม่มีอะไรที่จะการันตีเราได้ว่าวิกฤตการเงินจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคตยกเว้นว่ารัฐจะแทรกแซงอย่างแข็งขัน เช่น จํากัดเพดานการใช้เงินกู้ (leverage) ในการดําเนินธุรกิจการเงิน
2. ระบอบเศรษฐกิจโลกถูกแบ่งแยกด้วยเขตแดนทางการเมือง ถึงแม้ว่าโลกาภิวัตน์ในภาคการเงินจะทําให้ตลาดการเงินเชื่อมโยงกันจนแทบจะเป็นตลาดเดียว โลกก็ยังแบ่งออกเป็นประเทศต่างๆ ซึ่งมีระดับความเสี่ยงไม่เท่ากัน ตลาดการเงินโลกนั้นไม่มีผู้กํากับดูแลระดับโลกและไม่มีผู้ปล่อยกู้รายสุดท้าย (lender of last resort) ระดับโลก ส่งผลให้ตลาดทํางานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เช่น ปริมาณเงินเคลื่อนย้ายสุทธิอยู่ในระดับต่ํา การกระจายความเสี่ยงไม่สมบูรณ์ประเทศเกิดใหม่เป็น “เหยื่อผู้บริสุทธิ์” ของวิกฤตซับไพรม และไม่มีใครป้องกันการเคลื่อนย้ายของสินทรัพย์ “เป็นพิษ” อย่างหลักทรัพย์อ้างอิงซับไพรม ไม่เหมือนกับกรณีของสินค้า “เป็นพิษ” เช่น ยาด้อยคุณภาพจากอินเดีย ซึ่งรัฐบาลอเมริกันสามารถประกาศปิดพรมแดนเพื่อป้องกันการนําเข้าได้
3. ความล้มเหลวของตลาดในกระบวนการปฏิรูปโครงสร้างเชิงสถาบัน ทําให้ความล้มเหลวของตลาดในข้อ 1. และปัญหาไร้การกํากับดูแลระดับโลกในข้อ 2. ทวีความรุนแรงขึ้นในประเทศกําลังพัฒนา – พัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศกําลังพัฒนา จําเป็นต้องใช้การย้ายทรัพยากรจากกิจกรรมดั้งเดิม ไปสู่กิจกรรมที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ (tradable activities) และด้วยเหตุนี้ อัตราแลกเปลี่ยนจริง (real exchange rate หรือ RER) จึงมีบทบาทสําคัญ ยิ่ง RERมีมูลค่าต่ํากว่าความเป็นจริง (undervalued) เท่าไร ประเทศนั้นก็ยิ่งสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ (เพราะ RER ต่ํา ทําให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูงขึ้น) มาขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่ผ่านมามีงานวิจัยหลายชิ้นที่สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว ในทางกลับกัน การไหลเข้าของทุนต่างชาติ (capital inflows) เช่น เงินเก็งกําไรระยะสั้นในตลาดหุ้น ส่งผลให้ RER แข็งค่าขึ้นสูงเกินความเป็นจริง (overvalued) และดังนั้นจึงบั่นทอนแรงจูงใจของนักลงทุนต่างชาติที่สนใจจะเข้ามาลงทุนระยะยาว
ทางเลือกของผู้ดําเนินนโยบาย
ร็อดริกสรุปการบรรยายว่า ที่ผ่านมา โลกาภิวัตน์ในภาคการเงินนําส่งประโยชน์ต่อประเทศกําลังพัฒนาน้อยกว่าที่ระบุในทฤษฏีกระแสหลัก และนําส่งผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์มากมาย เช่น ภาวะขาดแคลนทุนต่างชาติในยามที่ต้องการทุนนั้นที่สุด (และในทางกลับกันด้วย) วิกฤตการเงินที่ประเทศไม่ได้เป็นผู้ก่อ และปัญหาจากปริมาณทุนไหลเข้าซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาภาคเศรษฐกิจจริง ทั้งนี้ เนื่องจากสาเหตุหลักคือ ตลาดการเงินไม่ได้เป็นตลาดแบบ “ดีที่สุด” ตามทฤษฎี หากเป็นตลาดแบบ “ดีที่สอง”
นักเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อว่าตลาดการเงินเป็นตลาดแบบ “ดีที่สุด” ซึ่งปัจจุบันหมายถึงนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ เช่น Stanley Fischer และ Rick Mishkin จะแนะนําผู้ดําเนินนโยบายในประเทศกําลังพัฒนาให้เปิดเสรีตลาดการเงิน รวมทั้งบัญชีทุน อย่างไม่มีเงื่อนไข และเชื่อว่าเราสามารถกําจัดความล้มเหลวและข้อบกพร่องต่างๆ ของตลาดได้ด้วยการปฏิรูปโครงสร้างเชิงสถาบัน ร็อดริกบอกว่า คําถามสําคัญสําหรับนักเศรษฐศาสตร์แบบ “ดีที่สุด” คือ พวกเขารอบคอบเพียงพอแล้วหรือในการปักใจเชื่อว่า ประเทศกําลังพัฒนาจะสามารถปฏิรูปโครงสร้างเชิงสถาบันให้กําจัดความล้มเหลวของตลาดได้ ในเมื่อการปฏิรูปบางรายการเป็นสิ่งที่แม้แต่ประเทศพัฒนาแล้วก็ยังทําไม่สําเร็จ?
ในทางกลับกัน นักเศรษฐศาสตร์ “กระแสรอง” อย่างร็อดริกเอง และ John Maynard Keynes, James Tobin และ Joseph Stiglitz ที่เชื่อว่าตลาดการเงินเป็นตลาดแบบ “ดีที่สอง” ซึ่งมีความล้มเหลวหลายประการเป็น “ธรรมชาติ” ของระบบ จะแนะนําผู้ดําเนินนโยบายให้แทรกแซงตลาด(“โยนทรายเข้าไปในล้อของการเงิน” ในวาทะของ Keynes) อย่างเหมาะสมและตามความจําเป็นเพื่อลดทอนผลกระทบจากความล้มเหลวของตลาด สร้างแรงจูงใจที่เหมาะสมให้กับนักลงทุนและบังคับทิศทางของโลกาภิวัตน์ในภาคการเงินให้เอื้ออํานวยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศอย่างเป็นธรรมและยั่งยืนกว่าเดิม ในมุมมองของร็อดริก คําถามสําคัญสําหรับนักเศรษฐศาสตร์แบบ “ดีที่สอง” คือ มีกรณีใดบ้างที่มาตรการแก้ปัญหา เช่น การบริหารจัดการบัญชีทุน อาจส่งผลลบรุนแรงกว่าโรคที่เราพยายามจะรักษา?
English version
WHY DID FINANCIAL GLOBALIZATION DISAPPOINT?
Dani Rodrik and Arvind Subramanian1
March 2008