triamboy
เมื่อกล่าวถึงเงินสำรองระหว่างประเทศนั้น หลายคนเข้าใจว่าเป็นเงินที่สำรองเอาไว้ใช้ในยามวิกฤตสำหรับประเทศเมื่อต้องประสบภาวะล้มละลาย ต้องตกเป็นลูกหนี้ก้อนใหญ่จนไม่สามารถชำระได้ดังเช่นวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี พ.ศ. 2541 นั้นเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องเพียงส่วนหนึ่งมากกว่านั้น เงินสำรองระหว่างประเทศ คือ “ เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภาระผูกพันที่มีอยู่และควบคุมโดยธนาคารกลางเพื่อใช้ในการชำระหนี้ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ เพื่อใช้ในการควบคุมความไม่สมดุลของดุลการชำระเงินในทางอ้อมผ่านการแทรกแซงในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน และ/หรือ เพื่อวัตถุประสงค์อื่น” (คู่มือดุลชำระเงินฉบับที่ 5, กองทุนการเงินระหว่างประเทศ – IMF) จากบริบทนี้ในส่วนท้ายเห็นได้ว่าเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ หรือโดยปกติแล้วหมายถึงธนาคารกลางระหว่างประเทศได้กำหนดวัตถุประสงค์เพิ่มเติมเพื่อการดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพตามบริบทแต่ละประเทศ โดยสำหรับประเทศไทยเองนั้นพบว่า มีวัตถุประสงค์ของการถือเงินสำรองระหว่างประเทศ ดังนี้
1. เพื่อใช้ในการดำเนินนโยบายการเงินและนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน
2. เพื่อความมั่นคั่งของประเทศ (store of wealth)
3. สร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างชาติ
4. เพื่อใช้หนุนหลังธนบัตรออกใช้
(ธนาคารแห่งประเทศไทย)
จากตัวเลขเงินสำรองระหว่างประเทศในปัจจุบัน ณ วันที่ 12 กันยายน 2551 คิดเป็นมูลค่า 101.0 พันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นจากปี 2543 ณ ระดับ 32 พันล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 216 % ในระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และต่อเนื่องด้วยการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการส่งออกของประเทศไทย การส่งออกเป็นที่มาหนึ่งของเงินสำรองระหว่างประเทศ เพื่อความเข้าใจมากขึ้นของที่มาเงินสำรองระหว่างประเทศ สามารถแยกที่มาของเงินสำรองระหว่างประเทศได้ดังนี้
1. การเกินดุลการชำระเงิน ซึ่งประกอบด้วยผลรวมของดุลบัญชีเดินสะพัด (ดุลการค้าและบริการ – ผลต่างการของส่งออกและนำเข้าสินค้าและบริการ – รวมกับรายได้และเงินโอน) และดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้าย (ผลต่างของเงินทุนไหลเข้า และไหลออก) อย่างไรก็ดี ภายใต้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว การเกินดุลดังกล่าวจะทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นเฉพาะในกรณีที่ธนาคารกลางเข้าซื้อเงินตราต่างประเทศจากตลาดเงินตราต่างประเทศเท่านั้น หรือมีการแทรกแซงให้อัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพต่อการดำเนินกิจกรรมทางสังคม เศษรฐกิจ และการเมือง
2. ผลตอบแทนที่ได้จากการบริหารจัดการ ซึ่งแยกเป็นผลตอบแทนที่เกิดจากรายได้ประเภทต่าง ๆ ได้แก่
– ทองคำ
– เงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ สถาบันการเงินระหว่างประเทศ หรือสถาบันการเงินต่างประเทศ
– หลักทรัพย์ต่างประเทศที่จะมีการชำระหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศ
– สิทธิซื้อส่วนสำรองในกองทุนการเงินและธนาคารระหว่างประเทศ
– สิทธิพิเศษถอนเงินในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
– สินทรัพย์อื่นใดที่ธนาคารกลางนำส่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
และรวมถึงผลตอบแทนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าตลาดของสินทรัพย์ที่ประกอบเป็นเงินสำรองทางการ
– ทองคำ
– ต่างประเทศ
– หลักทรัพย์ต่างประเทศ
– ทองคำ สินทรัพย์ต่างประเทศ และสิทธิพิเศษถอนเงินที่นำส่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
– ใบสำคัญสิทธิพิเศษถอนเงิน ใบสำคัญสิทธิซื้อส่วนสำรอง
– หลักทรัพย์รัฐบาลที่ชำระหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศ
(กองทุนการเงินระหว่างประเทศ)
โดยในส่วนหลังนี้คือ สินทรัพย์ท่ีเป็นองค์ประกอบของเงินสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งมูลค่ามีการเปลี่ยนแปลงโดยการกำหนดจากอุปสงค์อุปทานของตลาดโลก สำหรับประเทศไทยนั้น พบว่าทองคำ อ้างอิงราคาทองคำของตลาดลอนดอน (London afternoon gold fixing) สิทธิพิเศษถอนเงิน และสินทรัพย์ส่งสมทบกองทุนการเงินระหว่างประเทศ คำนวณเทียบเป็นค่าเงินดอลลาร์อเมริกาตามอัตราแลกเปลี่ยนที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศกำหนด ส่วนสินทรัพย์ในรูปของเงินตราระหว่างประเทศนั้นเทียบค่าเป็นหน่วยดอลลาร์อเมริกา โดยอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนจากอัตราปิดซื้อขายเฉลี่ย ณ สิ้นวันของตลาดนิวยอร์ก (New York Closing mid rate)
จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นช่วยให้สามารถเข้าใจเงินสำรองระหว่างประเทศมากขึ้นในมิติต่างๆ อาทิ องค์ประกอบของเงินสำรองระหว่างประเทศ การบริหารจัดการเงินสำรองระหว่างประเทศเพื่อก่อให้เกิดรายได้ ที่มาของเงินสำรองระหว่างประเทศ และรวมถึงหน้าที่ของการมีอยู่ของเงินสำรองระหว่างประเทศที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
ด้วยจุดประสงค์ของการมีอยู่ของเงินสำรองระหว่างประเทศเป็นปัจจัยกำหนดหน้าที่ของเงินสำรองระหว่างประเทศ ดังนี้
1. ทำหน้าที่รักษาอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม ผ่านเครื่องมือต่างๆของธนาคารกลาง จากจุดประสงค์เพื่อใช้ในการดำเนินนโยบายการเงินและนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน
2. ทำหน้าที่เงินสำรองไว้ใช้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ จากจุดประสงค์เพื่อความมั่นคั่งของประเทศ (store of wealth)
3. ทำหน้าที่ค้ำประกันหนี้ต่างประเทศ (เงินกู้จากต่างประเทศ) และชำระหนี้ต่างประเทศเมื่อไม่มีความสามารถในการทำกำไร หรือวิกฤตเศษรฐกิจ จากจุดประสงค์สร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างชาติ
4. ทำหน้าที่คำ้ประกันมูลค่าเงินที่พิมพ์ออกมาในตลาดให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน จากจุดประสงค์เพื่อใช้หนุนหลังธนบัตรออกใช้
ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัฒน์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น มากขึ้นทุกขณะ กอปรกับการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เน้นการเจริญเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก ทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศในปัจจุบันมีมูลค่า 101.0 พันล้านเหรียญอเมริกา เป็นระดับที่หลายคนได้ออกมาวิจารณ์ว่าสูงเกินไปบ้าง พอดีบ้าง หรือแม้แต่กระทั่งต่ำเกินไป หลายคนเกิดความสงสัยว่าแล้วเงินสำรองระหว่างประเทศมากน้อยระดับไหนถึงจะเพียงพอ หากพิจารณาตามกรอบของหน้าที่เงินสำรองระหว่างประเทศแล้ว ได้มีผู้เสนอความคิดเห็นมากมาย ดังนี้
– ระดับเงินสำรองระหว่างประเทศที่เหมาะสมควรจะให้มีความสอดคล้องกับหนี้ต่างประเทศ นั่นคือ ระดับที่เท่ากับหนี้ต่างประเทศทั้งภาครัฐ และเอกชน แสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้ต่างประเทศ
มีทั้งเสนอความคิดเห็นในรายละเอียดที่แตกต่างกันคือ พิจารณาเฉพาะหนี้ต่างประเทศระยะสั้น (1 – 3 ปี) พิจารณารวมทั้งหนี้ระยะสั้น และระยะยาว
– ระดับเงินสำรองระหว่างประเทศที่เหมาะสมควรจะให้มีความสอดคล้องกับเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น นั่นคือ มากพอที่จะลดแรงจูงใจต่อขบวนการล้มค่าเงิน
จากหลายทัศนะสามารถแยกออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ ดังนี้
1. ทัศนะที่พิจารณาบนพื้นฐานของเศรษฐกิจดำเนินไปตามปกติ (มองแง่บวก) กลุ่มนี้จะให้ความสำคัญของผลประโยชน์ที่จะได้รับการการนำเงินสำรองระหว่างประเทศไปใช้ลงทุน อาทิ การสร้างกองทุนความมั่งคั่งของประเทศ (Sovereign Wealth Fund) การตั้งงบประมาณขาดดุล เป็นต้น และมองว่ามีแนวโน้มการสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง โอกาสของวิกฤตมีน้อย ดังนั้นระดับเงินสำรองระหว่างประเทศที่เหมาะสมจึงพิจารณาจากปัจจัยระยะสั้นเป็นส่วนใหญ่ เช่น หนี้ต่างประเทศระยะสั้น เนื่องมาจากการพิจารณาโดยคำนึงถึงปัจจัยระยะยาวทำให้เสียโอกาสของการสร้างประโยชน์จากเงินสำรองระหว่างประเทศ จึงหมายความว่าเงินสำรองระหว่างประเทศที่เหมาะสมจึงไม่สูงมาก (ตัวอย่างประเทศไทย หนี้ต่างประเทศระยะสั้น ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 51 อยู่ที่ระดับ 26.791 พันล้านเหรียญอเมริกา)
2. ทัศนะที่พิจารณาบนพื้นฐานของเศรษฐกิจดำเนินไม่ปกติ หรือเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ (มองแง่ลบ) กลุ่มนี้จะให้ความสำคัญของความสามารถในการจัดการเพื่อความต่อเนื่องของเศรษฐกิจในยามที่เกิดวิกฤต ดังนั้นระดับเงินสำรองระหว่างประเทศที่เหมาะสมจึงพิจารณาจากปัจจัยทั้งหมดเป็นส่วนใหญ่ เช่น หนี้ต่างประเทศ จึงหมายความว่าเงินสำรองระหว่างประเทศที่เหมาะสมจึงอยู่ในระดับสูง (ตัวอย่างประเทศไทย หนี้ต่างประเทศทั้งหมด ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 51 อยู่ที่ระดับ 66.040 พันล้านเหรียญอเมริกา)
แต่ปัจจัยพิจารณาเหล่านี้เพียงพอแล้วเหรอ ?
สำหรับข้าพเจ้าเองแล้ว ตอบได้เลยว่าไม่เพียงพอสำหรับการสำนึกร่วมความเป็นชนชาติเดิมเดียวกันในพื้นที่ที่เรียกว่าประเทศ หากคิดว่าทุน (ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ แรงงาน ความรู้ ข้อมูล) เป็นสมบัติที่ผลัดกันชมได้ เปลี่ยนเจ้าของไปมาได้เกือบ 200 ประเทศ หรืออีกหลายบริษัทในประเทศเหล่านั้น เพียงแค่มีกำลังซื้อที่เพียงพอต่อการเสนอขายทั้งในยามปกติ และวิกฤต ซึ่งนั้นหมายความว่าถ้าทุนถูกเปลี่ยนเจ้าของเป็นชนต่างชาติแล้ว โอกาสน้อยมากที่เราจะกลับมาเป็นเจ้าของทุนที่อยู่ในพื้นที่ที่เราอาศัยอยู่อีกครั้ง ท่ามกลางโลกที่มีการเคลื่อนย้ายทุกอย่างอย่างมีประสิทธิภาพ (ในกรณีนี้สามารถเคลื่อนย้ายทุนผ่านการเคลื่อนย้ายความเป็นเจ้าของทุน แต่ทุนอยู่ที่เดิมก็ได้) นอกเสียจากว่าชนชาติเดิมเดียวกันนั้นก่อการปฏิวัติยึดคืนมาทางใดทางหนึ่ง
ธุรกิจทั้งของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน ต่างมีความต้องทุนทั้งในยามปกติ และทุนในยามวิกฤต
1. ความต้องการทุนในยามปกติ เป็นการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจ อาทิ การเพิ่มกำลังการผลิต การขยายธุรกิจในหลายสาขา การควบรวม ชดเชยการตั้งสำรองหนี้สูญ เป็นต้น
2. ความต้องการทุนในยามวิกฤต มีความต้องการทุนเพื่อชดเชยการขาดทุนเมื่อธุรกิจล้มละลาย ด้วยเหตุจากการประกอบการของธุรกิจเอง หรือผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ (วิกฤตสถาบันการเงิน วิกฤตหนี้) มากกว่านั้นต้องการทุนเพิ่มเพื่อเริ่มต้นเศรษฐกิจใหม่
ความต้องการทุนเหล่านี้จะไม่กระทบต่อความเป็นเจ้าของทุนของชนชาติเดิมเดียวกัน ถ้าหากแหล่งที่มาของทุนมาจากในประเทศ แต่สำหรับประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบเปิดขนาดเล็ก ได้เปิดโอกาสให้มีการใช้ประโยชน์จากทุนจากต่างประเทศได้ และประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดเล็กโดยปกติแล้วไม่มีทุนในประเทศพอต่อการลงทุน เว้นเสียแต่ประเทศนั้นมีความโน้มเอียงในการออมสูง เช่น ญี่ปุ่น (ออมเป็นสัดส่วนมากของรายได้ที่ได้รับหลังจากหักภาษี) แต่การใช้ประโยชน์จากทุนต่างประเทศมีหลายรูปแบบ อาทิ การให้กู้ การร่วมเป็นเจ้าของทุน(เป็นพันธมิตร) การควบรวม การเข้าซื้อกิจการ เป็นต้น จากจุดนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนความเป็นเจ้าของทุน แต่ทั้งนี้ยังขึ้นกับกฎระเบียบ หรือการเปิดโอกาสของแต่ละประเทศอีกด้วยในการกำหนดสัดส่วนความเป็นเจ้าของทุน
หากพิจารณาโอกาสสูญเสียความเป็นเจ้าของทุนของชนชาติเดียวกันกับประเทศระหว่างยามปกติ และยามวิกฤต สามารถตอบได้เลยว่าโอกาสในยามปกตินั้นเป็นไปได้น้อยมากเพราะต้องปฏิบัตภายใต้กฎระเบียบของประเทศนั้น แต่ในทางกลับกัน พบว่า ในยามวิกฤตเป็นไปได้มาก มากมากในการสูญเสียความเป็นเจ้าของทุนของชนชาติเดียวกันกับประเทศให้แก่ชนต่างชาติ เนื่องมาจากความจำเป็นต้องใช้ทุนจำนวนมากเพื่อหยุดวิกฤต และมากกว่านั้นเพื่อสร้างความต่อเนืองต่อการดำเนินกิจกรรมของธุรกิจ ฟื้นฟูกิจการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทางการเงิน ที่มีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ถึงขนาดที่มีการแก้ไขกฎระเบียบสัดส่วนการถือครองทุน ความเป็นเจ้าของทุนในประเทศนั้น มากกว่านั้นสำหรับประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบเปิดขนาดเล็ก ยังมีโอกาสสูงต่อการเผชิญหน้ากับวิกฤตทางเศรษฐกิจ เนื่องมาจากเงินทุนที่ไหลเข้าออกในโลกนี้มีปริมาณมากเมื่อเปรียบเทียบกับเงินสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งเสี่ยงต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
โดยปกติแล้วเมื่อเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจขึ้น พบว่า เงินสำรองระหว่างประเทศนั้นมีเพียงพอต่อการชำระหนี้ต่างประเทศบางส่วน (หลังจากประนอมหนี้แล้ว) แต่ไม่เพียงพอต่อการรักษาไว้ซึ่งความเป็นเจ้าของทุนของชนชาติเดิมในประเทศนั้น ซึ่งหมายความว่าเงินสำรองระหว่างประเทศนั้นมีอยู่เพื่อสร้างความเชื่อมั่น เป็นหลักประกันต่อชนต่างชาติ แต่ไม่ได้เป็นหลักประกันต่อชนชาติเดียวกันที่เป็นเจ้าของเงินสำรองระหว่างประเทศ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับชนชาติเดียวกันกับประเทศที่เป็นเจ้าของทุนในประเทศ แต่กลับต้องหยิบยื่นความเป็นเจ้าของให้แก่ชนต่างชาติไม่ว่าพอใจหรือไม่ก็ตาม
จากผลกระทบของการเปลี่ยนความเป็นเจ้าของทุนในประเทศจากชนชาติเดียวกันกับระเทศ เป็นชนต่างชาติเกือบทั้งหมดเห็นได้ชัดเจนจากกรณีของประเทศอาร์เจนตินา พบว่า เกิดความสูญสิ้นของชนชาติเดียวกันกับประเทศนั้น คือ ไม่ความสามารถดำเนินกิจกรรมทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองตามความต้องการของชนชาติเดียวกันแต่ละคนได้ ซึ่งในรายละเอียดนั้นข้าพเจ้าได้เขียนเอาไว้ในบทความเรื่อง ภาวะสูญสิ้นของชนชาติเดียวกัน กับ ผลกระทบจากการแปรรูปกิจการ
มากกว่านั้นสำหรับประเทศที่มีแนวคิดพื้นฐานของสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองแบบหน่วยสิ่งมีชีวิตนั้น หน่วยของการดำเนินกิจกรรมมีประสิทธิภาพจากเครือข่าย ซึ่งล้วนแต่พัฒนารูปแบบของสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่มีความเป็นกลุ่มนิยม (กลุ่มอาชีพ กลุ่มจังหวัด เป็นต้น) รวมถึงชาตินิยมสูงในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในเอเชียตะวันออก อาทิ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีเหนือและใต้ ใต้หวัน รวมถึงประเทศไทยด้วย ดังนั้นเมื่อความเป็นเจ้าของทุนในประเทศของชนชาติเดียวกันของประเทศเหล่านี้ถูกเคลื่อนย้ายไปสู่ชนต่างชาติในระดับสูง มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีกระบวนการ (ขบวนการ) ทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองต่อต้าน เรียกร้อง ก่อความวุ่นวาย เพื่อยึดคืนซึ่งความเป็นเจ้าของทุนในประเทศ นั่นหมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดความไม่สงบในประเทศ
ดังนั้นสำหรับประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดเล็ก หรือเงินออมในประเทศไม่พอต่อการลงทุน (และมีแนวคิดพื้นฐานของสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองแบบหน่วยสิ่งมีชีวิต) จำเป็นอย่างยิ่งต้องเพิ่มเป้าหมายของเงินสำรองระหว่างประเทศอีกหนึ่งเป้าหมาย คือ สร้างความเชื่อมั่นแก่ชนชาติเดียวกันกับประเทศ หรือเป้าหมายรักษาไว้ซึ่งความเป็นเจ้าของทุนโดยชนชาติเดียวกันกับประเทศ นั่นหมายถึงการสร้างหลักประกันให้กับคนในประเทศในความเป็นเจ้าของทุนในประเทศ นอกเหนือจากการสร้างหลักประกันให้แก่ชนต่างชาติในเจ้าของทุนที่ไหลเข้าประเทศแต่ฝ่ายเดียว และดำเนินการตามเป้าหมายทั้งสองควบคู่กันอย่างสมดุล ก่อนที่ประเทศต้องตกอยู่ในสภาวะสูญสิ้นชนชาติเดิมเดียวกัน คือ สังคมของชนชาติเดิมแตกสลาย กระจัดกระจาย สังคมชนต่างชาติเข้มแข็งขึ้น เศรษฐกิจท่ีชนชาติเดียวกันกับประเทศประกอบอาชีพได้อย่างเดียว คือ “แรงงาน หรือลูกจ้าง” ไม่มีโอกาสประกอบอาชีพอื่น ชนต่างชาติประกอบอาชีพอย่างเดียว คือ “นายจ้าง” การเมืองที่มีนักการเมืองซึ่งเป็นอาชีพหนึ่งทำหน้าที่ “ลูกจ้าง” ของนายทุนชนต่างชาติ นั่นหมายถึง มีนายจ้าง หรือประมุข คือ “ชนต่างชาติ”
จากการเพิ่มเป้าหมายสร้างความเชื่อมั่นแก่ชนชาติเดียวกันกับประเทศของการมีอยู่ซึ่ง “เงินสำรองระหว่างประเทศ” นอกเหนือจากการเป็นหลักประกันของทุนไหลเข้าของชนต่างชาติ การสร้างเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน และการหนุนหลังเงินออกใช้ ธนาคารกลางต้องมีการบริหารจัดการเงินสำรองระหว่างประเทศ โดยดำเนินนโยบายอย่างสมดุลระหว่างเป้าหมายทั้งหมด นั่นหมายถึงระดับเงินสำรองระหว่างประเทศที่เหมาะสม ซึ่งสามารถแบ่งแนวทางการดำเนินการได้สองแนวทางหลักดังนี้
1. แนวทางของประเทศที่พึงพอใจความเสี่ยงในระดับต่ำ (risk aversion) คือ แนวทางที่มีการบริหารจัดการเงินสำรองระหว่างประเทศให้สอดคล้องกับเป้าหมายทั้งหมด นำมาซึ่งระดับเงินสำรองระหว่างประเทศที่สูง สูงพอต่อการเป็นหลักประกันในระยะสั้น คือ การรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน และเป็นหลักประกันของเงินที่ออกใช้ในระบบเศรษฐกิจ มากกว่านั้นต้องสูงพอต่อการเป็นหลักประกันระยะยาว คือ ความสามารถในการชำระหนี้ต่างประเทศ และความสามารถในการรักษาไว้ซึ่งความเป็นเจ้าของทุนในชาติของชนในชาติ ดังนั้นในการจัดการเงินสำรองระหว่างประเทศที่ให้ความสำคัญทั้งหลักประกันระยะสั้น และระยะยาวไปพร้อมกันจึงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการขัดแย้งของผลได้ของหลักประกันทั้งสองระยะเวลาจากการจัดการ เนื่องมาจากการลงทุนเงินสำรองะหว่างประเทศในหลักทรัพย์ต่างๆ
สรุปได้ว่าระดับเงินสำรองระหว่างประเทศควร เท่ากับ ทุนไหลเข้า – ออกระยะสั้น ทุนเพื่อการนำเข้าและส่งออก หนี้ต่างประเทศ และทุนของกิจการที่ใช้ประโยชน์จากทุนในชาติ (สัดส่วนทุนมากกว่าร้อยละ 50) เพื่อประกันว่าสามารถชำระหนี้ต่างประเทศ และเข้าช่วยเหลือรักษาสัดส่วนการเป็นเจ้าของทุนในชาติของชนในชาติได้ หากเป็นตามแนวทางนี้ เงินสำรองระหว่างประเทศต้องอยู่ในระดับสูงมาก
2. แนวทางของประเทศที่พึงพอใจความเสี่ยงในระดับสูง (risk loving) คือ แนวทางที่มีการบริหารจัดการเงินสำรองระหว่างประเทศที่แยกการจัดการตามเป้าหมายในระยะสั้น และระยะยาวออกจากกันเพื่อป้องกันการขัดแย้งของผลได้จากการจัดการ โดยคงไว้ซึ่งเงินสำรองระหว่างประเทศ เพื่อดำเนินตามเป้าหมายในระยะสั้น คือ หลักประกันต่อเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน และเงินที่ออกใช้ในระบบเศรษฐกิจ และแยกเอาเป้าหมายระยะยาว คือ การสร้างหลักประกันสำหรับทุนชนต่างชาติที่ไหลเข้า (หนี้ต่างประเทศ) และทุนในประเทศของชนในชาติ โดยจัดตั้ง กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ เพื่อบริหารจัดการทุนส่วนเกินจากการมีอยู่ของเงินสำรองระหว่างประเทศ ทำให้มีการจัดการเงินสำรองระหว่างประเทศ และเงินสำรองส่วนเกินอย่างมีประสิทธภาพมากขึ้น ซ่ึงเงินสำรองระหว่างประเทศมีอยู่ หรือลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคง มีสภาพคล่องสูง อาทิ พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคงคลังของรัฐบาลที่มีความมั่นคงสูง ส่วนเงินสำรองระหว่างประเทศส่วนเกินมีอยู่ หรือลงทุนในหลักทรัพย์ที่คาดว่ามีผลตอบแทนสูงที่หลากหลาย มีระยะเวลาการลงทุนยาว หมายรวมถึงหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง และหลักทรัพย์ที่เป็นของทุนในชาติ เพื่อรักษาสัดส่วนความเป็นเจ้าของทุนในชาติ โดยชนในชาติผ่านเงินสำรองส่วนเกินที่คนในชาติทุกคนเป็นเจ้าของ
สรุปได้ว่าระดับเงินสำรองระหว่างประเทศควรเท่ากับ ทุนไหลเข้า – ออกระยะสั้น ทุนเพื่อการนำเข้าและส่งออก หรือการมีอยู่เพื่อตอบสนองความต้องการระยะสั้น ส่วนระดับเงินสำรองระหว่างประเทศส่วนเกินควรเท่ากับ หนี้ต่างประเทศ และทุนของกิจการที่ใช้ประโยชน์จากทุนในชาติ เพื่อความเป็นเจ้าของ (สัญชาติของทุน) โดยสร้างเครืองมือใหม่เพื่อบริหารจัดการเงินสำรองส่วนเกิน อาจเป็นรูปแบบของ กองทุนความมั่งคั่งของประเทศ (Sovereign Wealth Fund) หรือการให้อำนาจบริหารจัดการของรัฐบาล เพื่อการลงทุนภายใต้วัตถุประสงค์ ผ่านรูปแบบเดิมของงบประมาณขาดดุลก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะใช้เครื่องมือใดต้องศึกษาถึงความเป็นไปได้ และผลกระทบที่ตามมาให้ชัดเจน
กรณีตัวอย่างของประเทศไทย: ผลลัพธ์จากวิกฤตเศรษฐกิจ 2541
ตารางแสดงความเป็นเจ้าของทุน คือ เจ้าของธนาคารพาณิยช์ เมื่อปี 2544 3 ปีหลังจากวิกฤต
ที่มา: งานวิจัยของ ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร เรื่อง โครงสร้างและพลวัตของทุนไทยหลังวิกฤตเศรษฐกิจ
ตารางแสดงความเป็นเจ้าของทุน คือ เจ้าของธนาคารพาณิยช์ เมื่อปี 2551 10 ปีหลังจากวิกฤต
ที่มา: ผู้เขียนรวมรวมจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วันที่ 12 กันยายน 2551
ตารางแสดงความเป็นเจ้าของทุน คือ เจ้าของธุรกิจโทรคมนาคม เมื่อปี 2551 10 ปีหลังจากวิกฤต
ที่มา: ผู้เขียนรวมรวมจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วันที่ 12 กันยายน 2551
จะปล่อยให้ชนต่างชาติเข้ามาเป็นเจ้าของทุนในประเทศอีกเท่าไหร่
ขณะที่อเมริกาที่ประสบปัญหาซับไพรม์
กลับตระบัดสัตย์ฉันทามติวอชิงตันที่สนับสนุนด้วยตนเอง
กีดกันความเป็นเจ้าของทุนของชนชาติอเมริกาจากจีน และอาหรับ
สุดท้ายธนาคารกลางสหรัฐเข้าอุ้มเอง
แล้วราชอาณาจักรไทย? (จะเหลือเพียงตัวหนังสือ?)