recommendare
” …. ทางออกของเรื่องนี้ คือการยุติ และเสียสละของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากยอมยุติ บรรดาผู้จงรักภักดีก็จะยอมยุติด้วย แต่เมื่อการยุติ เป็นการยุติแบบชั่วคราว ความขัดแย้งยังคงมีอยู่ จะรับประกันได้อย่างไรว่า จะไม่มีบุคคลแบบอดีตนายกฯเกิดขึ้นอีก … ประวัตศาสตร์ก็จะซ้ำรอย เกิดวิกฤตเหมือนเดิม … “
สรุป
ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การเมืองไทยในปัจจุบัน”
เนื่องโอกาสการประชุมใหญ่ทางวิชาการโรงพยาบาลราชวิถี
วันที่ 24 กุมภาพันธ์
โดย
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า
ราชบัณฑิตยสภา
ความมีดังนี้
วิกฤติการเมืองไทยที่เกิดขึ้น เป็นความขัดแย้งที่สะสมมาตั้งแต่สมัยการเปลี่ยนแปลงระบอบการบริหารประเทศและระบอบเศรษฐกิจ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการเปลี่ยนแปลงจากระบอบเทศาภิบาล เป็นกระทรวง ทบวง กรม ระบบขุนนางกินเมืองเป็นข้าราชการกินเงินเดือน รายได้จากพระคลังและภาษี เป็นการเก็บภาษีอากร นอกจากนี้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ยังไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง กับสภาพสังคมไทย แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 1-3 เน้นการผลิตและนำเข้า ฉบับที่ 4 และ 5 เน้นการผลิตเพื่อการส่งออก แต่ไม่มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจใดที่กล่าวถึงการพัฒนาภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศเป็นรายได้หลักของประเทศ รวมทั้งไม่มีแผนพัฒนาอย่างชัดเจนถึงการขยายผลผลิต ยุทธศาสตร์การผลิตเพื่อการเกษตร ที่น่าแปลกและส่งผลถึงปัจจุบัน เมื่อข้าวมีราคาแพง รัฐบาลกลับไม่ดีใจ เข้ามาแทรกแซง ไม่ได้คำนึงว่าจะกระทบต่อคนจนหรือชาวนา
สาเหตุหลักของความขัดแย้ง เหลื่อมล้ำ เป็นเพราะคนจนไม่เคยได้รับการช่วยเหลือ ไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากร การช่วยเหลือทั้งของบีโอไอ (สำนักงานส่งเสริมการลงทุน) และเอสเอ็มอี (ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) เป็นการช่วยเหลือที่กระจุกตัวอยู่ในคนมั่งคั่งและคนชั้นกลาง มีแต่ชนชั้นกลางกับชนชั้นสูงที่ได้รับการส่งเสริม จึงทำให้เกิดคนจนจำนวนมาก คนรวย ก็รวยมากขึ้น ส่วนคนจนก็ยิ่งจนลง เมื่อคนจนไม่มีอำนาจต่อรองทรัพยากรเหมือนชนชั้นกลางความขัดแย้งจึงยิ่งทวีคูณ ในปี 2519 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 และ 5 พบว่า รายได้ของคนรวย ร้อยละ 20 มีรายได้เป็นเจ้าของรายได้ประชาชาติสุทธิ 29.26 คนจน 6.05 ในปี 2529 เพิ่มขึ้นเป็นคนรวย 55.63 ขณะที่คนจน 4.55 ซึ่งสังเกตได้ว่า ชนชั้นกลางแม้ว่าจะมีรายได้เศรษฐกิจดีขึ้น แต่ยังไม่เคยสนใจเรื่องการเมืองเช่นเดิม ขณะที่คนจนก็ไม่มีอำนาจต่อรอง
ในปีที่ผ่านมาประเทศไทย มีนายกรัฐมนตรีถึง 3 คน จากการบริหารประเทศภายใต้ระบอบประชาธิปไตย 76 ปี ขณะนี้ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีแล้วทั้งสิ้น 27 คน มีรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ เกิดกบฏ 11 ครั้ง รัฐประหารสำเร็จ 9 ครั้ง ความขัดแย้งในเรื่องของความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งปิดและเปิดยังคงมีอย่างต่อเนื่อง และซ่อนตัว และเมื่อปี 2540 เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นเป็นการแก้ในส่วนของเรื่องการเมืองเป็นหลัก ทำให้เกิดระบบการเลือกตั้ง ทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ เน้นการหาเสียงเชิงนโยบายเป็นหลัก พรรคไทยรักไทย จึงได้รับคะแนนนิยมสูงสุดจากประชาชนในปี 2544 และได้เสียงข้างมากเกินครึ่งในปี 2548 เป็นผลมาจากนโยบายประชานิยม ทั้ง 30 บาท กองทุนหมู่บ้าน 1 อำเภอ 1 ทุน โอท็อป ซึ่งความขัดแย้งที่ถูกปิดก็ถูกเปิดขึ้นมา คนจนเข้าถึงทรัพยากรมากขึ้น ได้ลิ้มลองการรักษาฟรี และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ
จึงเป็นที่มาว่า คนจนเลือกตั้งรัฐบาล โดยคำนึงถึงนโยบายประชานิยม เพื่อการเข้าถึง ในขณะที่คนชั้นกลาง เป็นคนกำหนดนโยบายและล้มรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลไทยรักไทยถือได้ว่า เป็นการรวมตัวของมหาเศรษฐีที่ไม่เคยมีมาก่อน จึงเกิดปัญหาการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายขึ้น แต่การเมืองภาคประชาชนก็ไม่กล้าที่จะต่อสู้เรียกร้อง เพราะกลัวไม่ได้รับทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกจากนโยบายของรัฐ ขณะที่สื่อมวลชนก็ตกภายใต้การบีบคั้นของภาคธุรกิจ ถ้าหากวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล โฆษณาก็จะลดน้อยลง ทำให้เสียงวิจารณ์ไม่มี และเลยเกิดความขัดแย้ง ที่ส่งผลต่อปัจจุบัน
ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะนักการเมืองในสมัยที่แล้วรู้เห็นเป็นใจและปลุกให้กลุ่มคนเสื้อแดงขึ้นมาต่อสู้กัน และไม่มีใครรู้ได้ว่าความขัดแย้งนี้จะจบลงเมื่อไหร่ ซึ่งความขัดแย้งอาจเกิดจาก 2 ปัจจัยคือ
1.มาจากความขัดแย้งของคนเสื้อเหลืองกับอดีตนายกฯ ที่ผู้ต่อต้านไม่ยอมรับการได้มาซึ่งอำนาจ หากฝ่ายหนึ่งยอมหยุดก็จะยุติเพียงชั่วคราวเท่านั้น หากมีคนที่ใช้วิธีเดียวกันขึ้นมาอีกก็จะเกิดความขัดแย้งขึ้น
2.ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างระหว่าง คนมี กับ คนไม่มี ซึ่งวันนี้คนจนรู้แล้วว่าจะเข้าถึงอำนาจได้อย่างไรเพื่อให้เข้าถึงทรัพยากร
อนาคตพรรคการเมืองจะหันมาใช้นโยบายประชานิยมกันหมดเพื่อให้ได้คะแนนเสียง โดยไม่สนใจว่าจะเอาเงินมาจากไหนเพื่อทำตามนโยบายนั้น ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว ขณะนี้การหันมาใช้นโยบายประชานิยมกันหมด จะส่งผลให้ทรัพยากรหมดประเทศ เพราะเป็นประชานิยมที่ออกแบบแบบฉาบฉวยไม่คำนึงถึงการหาทรัพยากรเพิ่มเติม กลายเป็นการผลักภาระหนี้ไปในอนาคตให้รัฐบาลรับผิดชอบภาระหนี้แทนภาคประชาชน สุดท้ายประเทศก็จะเป็นหนี้ระยะยาว เกิดเป็นวิกฤตเศรษฐกิจเหมือนละตินอเมริกาที่เป็นเจ้าประชานิยม
การปกครองประเทศแบบประชาธิปไตย เหมาะกับประเทศที่มีคนชนชั้นกลางมาก แต่ประเทศไทย ไม่ใช่ เพราะมีแต่คนจน และคนชอบประชานิยมแบบไม่มีเหตุผล ลด แลก แจก แถมไปเรื่อย
ทางออกของเรื่องนี้ คือการยุติและเสียสละของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากยอมยุติ บรรดาผู้จงรักภักดีก็จะยอมยุติด้วย ความขัดแย้งก็จะไม่เกิดขึ้น แต่เมื่อการยุติ เป็นการยุติแบบชั่วคราว ความขัดแย้งยังคงมีอยู่ จะรับประกันได้อย่างไรว่า จะไม่มีบุคคลแบบอดีตนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นอีก หากนำนโยบายประชานิยมเข้ามาใช้และกลับมาเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ประวัตศาสตร์ก็จะซ้ำรอย เกิดวิกฤตเหมือนเดิม
ทางออกในเรื่องนี้ จึงต้องจัดสรรโครงสร้างทรัพยากรทางเศรษฐกิจใหม่ ด้วยการปรับโครงสร้างภาครัฐ ให้คนชนชั้นล่างมีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจโดยไม่ต้องพึงพารัฐ ซึ่งสามารถทำได้ 3 ทาง คือ 1. รัฐธรรมนูญ และกฏหมาย ต้องเปิดโอกาสให้คนจนเข้าถึงทรัพยากรและเศรษฐกิจมากขึ้น
1. รัฐธรรมนูญ และกฏหมาย ต้องเปิดโอกาสให้คนจนเข้าถึงทรัพยากรและเศรษฐกิจมากขึ้น
2.ปรับระบบภาษี หารายได้มาบริหารจัดการรายจ่าย นำเงินของคนมั่งมีมาช่วยคนจน เช่นภาษีมรดก ภาษีที่ดิน จัดการเรื่องรายจ่ายของประเทศ ไม่เน้นนโยบายประชานิยม เพราะเป็นการนำเงินอนาคตมาใช้ และ
3.ลดการกระจุกตัวของกลุ่มทุนธุรกิจขนาดใหญ่ จัดสรรทรัพยากรจากคนรวยให้เข้าถึงคนจน แต่ต้องไม่ก่อให้เกิดวิกฤตตามอีก ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่กระชากทรัพย์จากคนมีให้คนจน เหมือนระบอบคอมมิวนิสต์ หรือเป็นการแย่งชิงทรัพยากร แต่เป็นการร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยเหลือกระจายทรัพยากร
ทางออกวิกฤตก็ขึ้นอยู่กับคนในสังคมทั้งหมด ไม่ใช่แค่นักการเมือง หรือ รัฐสภา เพราะเป็นเรื่องใหญ่เกินที่ใครจะทำเพียงคนเดียวได้ แต่เชื่อว่าหากทำเช่นนี้ปัญหาต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ คลี่คลายและหมดไป
ใส่ความเห็น